กำเนิดโขน
โขนเป็นการแสดงประเภทนาฏกรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่เชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่โบราณ ประมาณกันว่าไทยมีการแสดงโขนมาก่อนพุทธศตวรรษ ที่ 16 ทั้ง นี้โดยการสันนิฐานจากการแกะสลักเรื่อง รามายณะ ไว้หลายที่ เช่น ประตูปราสาทหินพิมาย จ. นครราชสีมา
สำหรับกำเนิดของโขนมีการสันนิษฐานว่า เกิดจากการแสดงที่พัฒนาการมาจากการแสดงประเภทอื่นๆ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ การเล่นชนิดที่เรียกว่า ชักนาคดึกดำบรรพ์ มีพรรณนาไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกล่าวถึงพระราชพิธีอินทราภิเษกว่า ในการพระราชพิธีอินทราภิเษกปลูกเขาพระสุเมรุ สูงเส้นหนึ่งกับ 5 วา ต่อมามีผู้นำเอาเรื่องกวนน้ำอมฤตมาแต่งเป็นละครสันสกฤต เรียกชื่อว่า อมฤตมถนะ แปลว่า เรื่องกวนน้ำอมฤต สำหรับการเล่นดึกดำบรรพ์ เมื่อปี พศ 2039ในราชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 น่าจะมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ในพระราชพิธีอินทราภิเษก ซึ่งคงเล่นกลางสนามกลางแจ้ง
2. การแสดงกระบี่กระบอง ในสมัยโบราณคนไทยจำเป็นต้องฝึกหัดวิชาการต่อสู้ไว้เพื่อสู้รบกับข้าศึกศัตรู และเพื่อป้องกันตัว อาวุธที่ใช้เป็นคู่มือในการต่อสู้ก็มีทั้งอาวุธสั้น ยาว เช่น กระบอง ไม้พลอง ดาบ กระบี่ ทวน หอก ภายหลังได้เกิดมีแบบแผนในการใช้อาวุธแต่ละชนิดขึ้น เรียกกัน ว่า เพลงเช่น กระบี่ เพลงทวน สำหรับผู้ควบคุมฝึกหัดการใช้อาวุธของทางราชการในครั้งโบราณ คงเป็นเจ้ากรมกลองชนะที่มีบรรดาศักดิ์ว่า ราชมนู เนื่องจากการแสดงโขนเน้นศิลปะการต่อสู้ ฉะนั้นลีลาการต่อสู้ของคนสมัยก่อนในเชิงกระบี่กระบอง พลอง เป็นต้น จึงได้รับการปรับปรุงและนำมารวมไว้ในการแสดงหลายตอน
3. การแสดงหนังใหญ่ มหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของคนไทยในสมัยโบราณอย่างหนึ่งก็คือ หนัง หรือ หนังใหญ่ ตัวหนังจะใช่แผ่นหนังวัวฉลุเป็นรูปตัวละครในคือเรื่อง รามเกียรติ ส่วนสถานที่เล่นจะปลูกโรงขึงจอ สำหรับโขนที่มาจาการดแสดงหนังใหญ่มีข้อที่ควรพิจารณา
ประเภทของโขน
๑. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนบนพื้นกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรง ใช้ภูมิประเทศ ธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครทุกตัวต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบกันเป็นพื้น จึงแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ฝ่ายผลัดกันออกมาแสดงดำเนินเรื่องดังนั้นจึงต้องใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดงพร้อมกัน ๒ วง ไม่มีบทร้อง มีแต่บทพากย์และเจรจาบ้าง
๒. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงโขนบนโรง ไม่มีเตียงสำหรับตัวนายโรงนั่ง มีราวพาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราว ตัวโรงมักมีหลังคา เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนแล้วก็จะไปนั่งบนราว สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง ส่วนผู้แสดงเป็นเสนาหรือวานรยังคงนั่งพื้นแสดงปกติ การแสดงโขนประเภทนี้ไม่มีการขับร้อง มีแต่การพากย์ และเจรจา ดนตรีมีวงปี่พาทย์ ๒ วง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์
๓. โขนหน้าจอ เป็นโขนที่แสดงตรงหน้าจอหนังใหญ่โดยเจาะผ้าดิบทั้ง ๒ ข้างของจอ ทำเป็นช่องประตูเข้าออก แล้วทำเป็นซุ้มประตู ด้านหนึ่งเป็นปราสาทราชวัง สมมติ เป็นกรุงลงกา อีกด้านหนึ่งเป็นค่ายพลับพลาพระราม แล้วโขนก็ขึ้นไปแสดงบนโรง มีการพากย์และเจรจา มีดนตรี ปี่พาทย์ประกอบการแสดงเพียงวงเดียว
๔. โขนโรงใน เป็นศิลปะการผสมผสานระหว่าง โขนหน้าจอกับละครใน คือเริ่มมีผู้แสดงหญิงเข้ามาปะปน มีการ ออกท่ารำ เต้น ผู้แสดงเป็นตัวพระเริ่มไม่ต้องสวมหัวโขน มีการพากย์และเจรจาตามแบบโขน นำเพลงขับร้องและ เพลงดนตรีแบบละครในและระบำรำฟ้อนเข้าผสมด้วย โขนที่ กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ใช้ศิลปะการแสดง แบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอ ก็ตาม
๕. โขนฉาก หรือโขนโรง สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นราว รัชกาลที่ ๕ โดยมีผู้คิดสร้างฉากมาประกอบการแสดง โขนบนเวทีในโรง (วิก) คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ การแสดงแบ่งเป็นฉากเป็นตอนและมีการประดิษฐ์ฉากขึ้น ประกอบตามท้องเรื่อง วิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน มีการขับร้อง รำ เต้น และมีเพลงหน้าพาทย์
ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโขน คือ เครื่อง แต่งกาย แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์-เทวดา (พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ และฝ่ายลิง โดยแบ่งลักษณะ เครื่องแต่งกายได้ ๓ ประเภท คือ เครื่องประดับศีรษะ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องประดับกายต่างๆการพากย์โขนก็เป็นศิลปะสำคัญควบคู่กับการแสดงโขน เพื่อใช้ในการบรรยายและแสดงอารมณ์
วรรณกรรม
ความหมายของวรรณกรรม คำว่า "วรรณกรรม" มีความหมายตรงกับค าภาษาอังกฤษว่า "Literature Works" หรือ "General Literature" และการใช้ค าว่า "วรรณกรรม" มีปรากฏครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ. 2475 โดยให้ค านิยามค าว่า "วรรณกรรมและศิลปกรรม" รวมกันไว้ดังนี้ " วรรณกรรมและศิลปกรรม หมายความรวมว่าการท าขึ้นทุกชนิดในแผนกวรรณคดีแผนกวิทยาศาสตร์ แผนกศิลปะ จะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปร่างอย่างใดก็ตาม เช่น สมุด สมุดเล็ก และหนังสืออื่น ๆ เช่น ปาฐกถา กถาอื่น ๆ เทศนา หรือวรรณกรรมอื่น ๆ อันมีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือนาฏกียกรรม หรือนาฏกีย-ดนตรีกรรม หรือแบบฟ้อนร าและการเล่นแสดงให้คนดูโดยวิธีใบ้ซึ่งการแสดงนั้นได้ก าหนดไว้เป็นหนังสือ หรืออย่าง อื่นๆ
ประเภทของนาฏวรรณกรรม
2.2.1 เนื้อเรื่อง
หมายถึง สาระสำคัญของเรื่องที่ใช้แสดงนาฏศิลป์ แสดงถึงความคิด จิตใจ อารมณ์ รวมไปถึง เรื่องราวที่เป็นประหนึ่งโครงเรื่องของละคร 2.2.3 บทประกอบ หมายถึง บทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ที่นำมาใช้อ่านหรือใช้ขับร้องเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง โดยที่ผู้แสดงไม่จำเป็นต้องออกท่าทางให้สอดคล้องกับบท บทประกอบการแสดง 2.2.4 บทละคร หรือ สคริป หมายถึง บทที่ใช้เพื่อการแสดงละครโดยตรง มีตัวละครในการดำเนินเรื่อง บทละครประกอบด้วย บทเจรจา บทบรรยายฉาก เครื่องแต่งกายเหตุการณ์กิริยาและอารมณ์ของตัวละคร - บทละครไทย เช่นบทโขน บทละครรำ บทละครร้อง จะประกอบด้วย บทเจรจา และบทบรรยายต่าง ๆดังกล่าว - บทละครพูด ซึ่งมีกำเนิดและพัฒนามาจากตะวันตกนิยมแบ่งบทละครเป็นองค์ เป็นฉาก ประกอบด้วยคำพูดของ ตัวละครไม่นิยมมีบทบรรยายให้คนดูได้ยิน
2.2.2 บทระบำ ในที่นี้หมายถึง บทประพันธ์ขึ้นเพื่อแสดงระบำ โดยใช้ผู้แสดงฟ้อนรำไปตามคำและตามความที่ประพันธ์ไว้
๑. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงโขนบนพื้นกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรง ใช้ภูมิประเทศ ธรรมชาติเป็นฉากในการแสดง ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครทุกตัวต้องสวมหัวโขน นิยมแสดงตอนยกทัพรบกันเป็นพื้น จึงแบ่งผู้แสดงออกเป็น ๒ ฝ่ายผลัดกันออกมาแสดงดำเนินเรื่องดังนั้นจึงต้องใช้วงปี่พาทย์ประกอบการแสดงพร้อมกัน ๒ วง ไม่มีบทร้อง มีแต่บทพากย์และเจรจาบ้าง
๒. โขนโรงนอกหรือโขนนั่งราว เป็นการแสดงโขนบนโรง ไม่มีเตียงสำหรับตัวนายโรงนั่ง มีราวพาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราว ตัวโรงมักมีหลังคา เมื่อตัวโขนแสดงบทของตนแล้วก็จะไปนั่งบนราว สมมติเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง ส่วนผู้แสดงเป็นเสนาหรือวานรยังคงนั่งพื้นแสดงปกติ การแสดงโขนประเภทนี้ไม่มีการขับร้อง มีแต่การพากย์ และเจรจา ดนตรีมีวงปี่พาทย์ ๒ วง บรรเลงเพลงหน้าพาทย์
๓. โขนหน้าจอ เป็นโขนที่แสดงตรงหน้าจอหนังใหญ่โดยเจาะผ้าดิบทั้ง ๒ ข้างของจอ ทำเป็นช่องประตูเข้าออก แล้วทำเป็นซุ้มประตู ด้านหนึ่งเป็นปราสาทราชวัง สมมติ เป็นกรุงลงกา อีกด้านหนึ่งเป็นค่ายพลับพลาพระราม แล้วโขนก็ขึ้นไปแสดงบนโรง มีการพากย์และเจรจา มีดนตรี ปี่พาทย์ประกอบการแสดงเพียงวงเดียว
๔. โขนโรงใน เป็นศิลปะการผสมผสานระหว่าง โขนหน้าจอกับละครใน คือเริ่มมีผู้แสดงหญิงเข้ามาปะปน มีการ ออกท่ารำ เต้น ผู้แสดงเป็นตัวพระเริ่มไม่ต้องสวมหัวโขน มีการพากย์และเจรจาตามแบบโขน นำเพลงขับร้องและ เพลงดนตรีแบบละครในและระบำรำฟ้อนเข้าผสมด้วย โขนที่ กรมศิลปากรนำออกแสดงในปัจจุบันนี้ ใช้ศิลปะการแสดง แบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอ ก็ตาม
๕. โขนฉาก หรือโขนโรง สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นราว รัชกาลที่ ๕ โดยมีผู้คิดสร้างฉากมาประกอบการแสดง โขนบนเวทีในโรง (วิก) คล้ายกับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ การแสดงแบ่งเป็นฉากเป็นตอนและมีการประดิษฐ์ฉากขึ้น ประกอบตามท้องเรื่อง วิธีแสดงดำเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน มีการขับร้อง รำ เต้น และมีเพลงหน้าพาทย์
ลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโขน คือ เครื่อง แต่งกาย แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์-เทวดา (พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ และฝ่ายลิง โดยแบ่งลักษณะ เครื่องแต่งกายได้ ๓ ประเภท คือ เครื่องประดับศีรษะ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องประดับกายต่างๆการพากย์โขนก็เป็นศิลปะสำคัญควบคู่กับการแสดงโขน เพื่อใช้ในการบรรยายและแสดงอารมณ์
วรรณกรรม
ความหมายของวรรณกรรม คำว่า "วรรณกรรม" มีความหมายตรงกับค าภาษาอังกฤษว่า "Literature Works" หรือ "General Literature" และการใช้ค าว่า "วรรณกรรม" มีปรากฏครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ. 2475 โดยให้ค านิยามค าว่า "วรรณกรรมและศิลปกรรม" รวมกันไว้ดังนี้ " วรรณกรรมและศิลปกรรม หมายความรวมว่าการท าขึ้นทุกชนิดในแผนกวรรณคดีแผนกวิทยาศาสตร์ แผนกศิลปะ จะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปร่างอย่างใดก็ตาม เช่น สมุด สมุดเล็ก และหนังสืออื่น ๆ เช่น ปาฐกถา กถาอื่น ๆ เทศนา หรือวรรณกรรมอื่น ๆ อันมีลักษณะเช่นเดียวกัน หรือนาฏกียกรรม หรือนาฏกีย-ดนตรีกรรม หรือแบบฟ้อนร าและการเล่นแสดงให้คนดูโดยวิธีใบ้ซึ่งการแสดงนั้นได้ก าหนดไว้เป็นหนังสือ หรืออย่าง อื่นๆ
ประเภทของนาฏวรรณกรรม
2.2.1 เนื้อเรื่อง
หมายถึง สาระสำคัญของเรื่องที่ใช้แสดงนาฏศิลป์ แสดงถึงความคิด จิตใจ อารมณ์ รวมไปถึง เรื่องราวที่เป็นประหนึ่งโครงเรื่องของละคร 2.2.3 บทประกอบ หมายถึง บทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ที่นำมาใช้อ่านหรือใช้ขับร้องเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง โดยที่ผู้แสดงไม่จำเป็นต้องออกท่าทางให้สอดคล้องกับบท บทประกอบการแสดง 2.2.4 บทละคร หรือ สคริป หมายถึง บทที่ใช้เพื่อการแสดงละครโดยตรง มีตัวละครในการดำเนินเรื่อง บทละครประกอบด้วย บทเจรจา บทบรรยายฉาก เครื่องแต่งกายเหตุการณ์กิริยาและอารมณ์ของตัวละคร - บทละครไทย เช่นบทโขน บทละครรำ บทละครร้อง จะประกอบด้วย บทเจรจา และบทบรรยายต่าง ๆดังกล่าว - บทละครพูด ซึ่งมีกำเนิดและพัฒนามาจากตะวันตกนิยมแบ่งบทละครเป็นองค์ เป็นฉาก ประกอบด้วยคำพูดของ ตัวละครไม่นิยมมีบทบรรยายให้คนดูได้ยิน
2.2.2 บทระบำ ในที่นี้หมายถึง บทประพันธ์ขึ้นเพื่อแสดงระบำ โดยใช้ผู้แสดงฟ้อนรำไปตามคำและตามความที่ประพันธ์ไว้

Coffee โดย ดิวดอน อนุญาตให้ใช้ได้ตาม สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 International.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น