วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หน้าเเรก
























               โขน

 โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานจากจดหมายเหตุของ
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการเล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ  โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนนำวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ โขนนำท่าต่อสู้โลดโผน ท่ารำท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนนำศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุษย์ และมเหสี ธิดาพระยายักษ์  มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย  เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุฑ  ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์







เครื่องแต่งกาย
  เครื่องแต่งกายสำหรับใช้ในการแสดงโขน ใช้การ แต่งกายแบบยืนเครื่อง ซึ่งเป็นการแต่งกายจำลอง
  เลียนแบบจากเครื่องทรงต้นของพระมหากษัตริยแบบโบราณที่มีความสวยงามวิจิตรตระการตา
 แบ่งเป็น 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายมนุษย์ เทวดา พระ นาง  ฝ่ายยักษ์และฝ่ายลิง สำหรับบ่งบอกถึงยศถา
บรรดาศักดิ์และตำแหน่ง นอกจากนั้นตัวละครอื่น ๆ จะแต่งกายตามแต่ลักษณะของตัวละครนั้น ๆ เช่น
 ฤๅษี กา ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ สวมหัวโขนซึ่งมีการกำหนดลักษณะและสีไว้อย่างเป็นระบบและแบบแผน  ใช้สำหรับกำหนดให้ใช้เฉพาะกับตัวละคร สี ของเสื้อเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวกายของตัว  ละครนั้น ๆ เช่น พระรามสีกายเขียวมรกต  พระลักษณ์สีกายเหลืองบุษราคัม ทศกัณฐ์สีกายเขียวมรกต หนุมานกายสีขาวมุกดา สุครีพกายสีแดงโกเมน เป็นต้น แบ่งได้ 3 ประเภท คือ

 ศิราภรณ์หรือเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ศีรษะเช่น ชฎา มงกุฎ รัดเกล้า กระบังหน้า ปันจุเหร็จ
หรือแม้แต่หัวโขนก็จัดอยู่ในประเภทเครื่องศิราภรณ์เช่นกัน
ภูษาภรณ์หรือเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเช่น เสื้อหรือฉลององค์ กางเกงหรือสนับเพลา ชายไหวหรือห้อยหน้า ชายแครงหรือห้อยข้าง ผ้านุ่งหรือพระภูษา รัดเอว ผ้าทิพย์ เจียระบาด สไบ เป็นต้น

  ถนิมพิมพาภรณ์หรือเครื่องประดับต่าง ๆ ตามแต่ฐานะของตัวละครเช่น เข็มขัดหรือปั้นเหน่ง สังวาล ตาบหน้า ตาบทิศ ตาบหลัง อินธนู ธำมรงค์ แหวนรอบ ปะวะหล่ำ ทองกร กรองคอ สะอิ้ง พาหุรัด กำไลเท้า เป็นต้น

 นอกจากนี้ยังมีเกราะอีกหนึ่งประเภทคือ เกราะที่เป็นสายคาดรอบอกเช่น ตอนทศกัณฐ์เกี้ยวนางสีดาในสวน ทศกัณฐ์แต่งกายสวยงาม มีผ้าห้อยไหล่และถือพัดขนาดเล็ก มีเกราะคาดรอบอก ปัจจุบันการแสดงโขนไม่เคร่งครัดให้ตัวละครที่แสดงเป็นทศกัณฐ์ ต้องสวมเกราะเวลาทำศึกสงครามนอกจากตอนศึกมังกรกัณฐ์เท่านั้น ที่พระรามและทศกัณฐ์จะสวมเกราะ ปัจจุบันกรมศิลปกรเป็นผู้กำหนดขนาดและลวดลายต่าง ๆ ของเครื่องแต่งกายโขนเช่น การกำหนดเครื่องแต่งกายของพระพรต มีรายละเอียดดังนี้



 เสื้อใช้ผ้าต่วนสีแดงคอกลมแขนยาว ปักลาย 2 ข้างเต็มด้านหน้า ปักลายหนุนใต้รักแร้ ปักลายกนกที่ตัวเสื้อและแขน หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก ซับในด้วยผ้าโทเรสีแดง กรองคอใช้ผ้าต่วนสีเขียวปักลายกนก หนุนในตัวกนกด้วยเชือกเกลียวขนาดเล็ก ถมลายกนกด้วยดิ้นข้อ-ดิ้นโปร่งสีเงินขนาดเล็ก อินธนูใช้ผ้าต่วนสีเขียว เสริมภายในด้วยแผ่นหนังสังเคราะห์ ตรงปลายติดพู่เงิน-ทองยาว 1 นิ้ว จำนวน 1 คู่ ซับในด้วยผ้าโทเรสีเขียว





การฝึกหัดโขน

 

    ในการฝึกหัดโขน
    อาจารย์ผู้ทำการฝึกหัดจะทำการคัดเลือกผู้แสดงที่จะหัดเป็นตัวละครต่าง ๆ โดยตัวพระจะคัดเลือกผู้ที่ลักษณะใบหน้าสวยงาม ลำคอระหง ไหล่ลาด ช่วงอกใหญ่ ขนาดลำตัวเรียว เอวเล็กกิ่วตามลักษณะชายงามในวรรณคดีไทย และตัวนางจากผู้ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับตัวพระ กิริยามารยาทเรียบร้อย นุ่มนวลอ่อนหวานตามลักษณะหญิงงามในวรรณคดีเช่นกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือแบบนางกษัตริย์และนางตลาด โดยผู้ฝึกหัดโขนทุกคนจะต้องนุ่งโจงกระเบนสีแดงสวมเสื้อขาว เนื่องจากเป็นกฎระเบียบข้อบังคับ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฝึกหัดนาฎศิลป์ภายในวังสวนกุหลาบ โดยอาจารย์ลมุล ยมะคุป ข้าหลวงในวังสวนกุหลาบเป็นผู้กำหนดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 เนื่องจากมีราคาไม่แพง และสามารถควบคุมผู้ฝึกหัดให้เป็นหมวดหมู่ได้อย่างง่าย เมื่อคัดเลือกผู้แสดงได้แล้วจะเริ่มฝึกหัดโขนขั้น